วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สรุป

จากหนังสือเรื่อง ธรรมมะสบายใจ
หนังสือเล่นนี้ผู้เขียนได้บรรยายถึงเคล็บลับของความสุขที่ได้จากลมหายใจของเรา พร้อมทั้งเปลี่ยนวิธีคิดปรับทัศนคติ ให้มองโลกในมุมมองใหม่ ค้นพบความสุขที่แท้จริง และทำชีวิตประจำวันทำหน้าที่ของตนเองงานของตนเองควบคู่ไปกับความผ่อนคลายสบายใจ และบทความทุกบทในเหนังสือล่นนี้ก็ล่วนแต่มีจุดประสงค์เหมือนกัน คือ อ่านแล้วเราสบายใจเราคิดตามทำตามหลักก็มีความสุขแล้ว ชีวิตเราจะมีความสุขก็ต่อเมือ เรารู้และเราปฎิบัติและนอกจากจะทำให้เราสามารถปฎิบัติตามได้จริงแล้วเรายังสามารถนำมาเผยแพร่เพื่อให้คนอื่นได้รู้ เช่น เราอ่านแล้วเราสามารถสอนคนอื่นให้ปฏิบัติตามที่เราอ่านได้ หรือไม่ เราก็สามารถนำหนังสือที่เราอ่านจบแล้วไปให้ผู้อื่นที่สนใจอ่านตอได้อีก นับว่าหนังสือเล่นนี้มีประโยชน์มาก ดิฉันชอบบทความหลายเรื่องในหนังสือเล่มนี้บางบทความสอนให้เรารู้จักการให้ ก็คือ การเป็นผู้ให้มากกว่าการเป็นผู้รับ การให้โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ และดิฉันยังขอเสนอบทความบางบทที่นำมาจากการอ่านหนังสือเล่มนี้มาเขียนเพื่อให้ทุกคนที่อ่านบทความของดิฉันได้คิดและอาจจะมองโลกในอีกแง่มุมหนึงในชีวิตเลยก็ได้
ขอเสนอบทความที่ชอบอยู่บทความหนึ่ง ซึ่งทบความเรื่องนี้เป็นบทความเรื่องที่ สอง ภาค 1 ลายแทงความสุข ชื่อเรื่องว่าความสุขที่แท้จริง ดิฉันชอบสิงที่ผู้เขียนต้องการสื่อออกมาว่า บางที่ ความสุขที่แท้จริงอาจไม่ใช้ทรัพสินเงินทอกก็ได้ ขอเล่าบทความนี้พอคล่าวๆ เรื่องคือ ชายแก่คนหนึ่งแต่งตัวมอซอ เสื่อผ้าเก่าๆ นั้งตกปลา อยู่ที่ริมบึงแห่งหนึ่ง ด้วยสีหน้าที่เบิกบาน อารมณ์ดี นั้งตกปลามองแมลงปอที่มันหยอกล้อเล่นกันอยู่เหนือผิวน้ำ และร้องเพลงผิวปากด้วยความสุขอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน ภบค่ำของวันหนึ่ง มี มหาเศรษฐี คนหนึ่งมาพร้อมกับ คนขับรถ มานั้งตกปลาอยู่ปริเวณไกล้กับเขา เขามาองชายแก่มองแล้วยิ้มให้กับเศรษฐีคนนั้น เขาก็เลยถามชายแก่นว่า “ตกปลามานานหรือยัง”เศรษฐีถาม ชายแก่ตอบว่า “ทั้งชีวีตครับ” แล้วถามต่อว่า “เป็นไงบ่างละรายได้ดีไหม” ชายแก่ตอบว่า “มีความสุขมากครับ” เศรษฐี ถึงกับ งง กับคำตอบของชายแก่ ชายแก่จึงบอกว่า “ขอโทษครับ ผมตกเบ็ดเพื่อหาปลาครับ ไม่ใช้หาเงิน” ชายแก่ตอบพร้อมกับพูดต่ออีกว่า เอาไปทำไมครับเงิน เศรษฐีตอบว่า “คนเรานี้หนาถ้ามีเงินมากๆ ก็มีความสุกนะสิ อยากได้อะไรก็ได้อยากชื่ออะไรก็ชื่อ” ชายแก่ บอกว่าผมไม่เห็นจำเป็นต้องมีเงินเลยนิครับ แต่ผมก็ยังมีความสุข
และความสุขขอมผมคือการได้นั้งตกปลาอยู่อย่างนี่ทุกวัน คนจนตอบด้วยความยินดี หน้าตาสดใส ล้วเขาก็ถามต่อว่า แล้วคุณละตกปลาเพื่ออะไร เศรษฐี ตอบว่า ผมก็อยากมีความสุขบ่างนะสิ แล้วเศรษฐี ก็นั้งเงียบอยู่พักใหญ่เพราะเขากำลังคิดถึงแนวคิดแปลกๆๆ และไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนแบบที่ชายแก่คนนี้พูด
จากนั้นชายแก่กับเศรษฐีก็กลายเป็นเพื่อกัน
แนคคิดที่ได้จากเรื่องนี้ดิฉันคิดว่าการที่เราจะมีความสุขที่แท้จริง บางที่มันอาจจะไม่ได้มาจากทรัพสินเงินทองมากมายแต่มันเป็นเพียงความสุขที่เกิดจาก ใจของเราต่างหายละที่สำคัญที่สุด
แล้วหลังจากอ่านบทความเรื่องนี้จบก็อ่านมาเรื่อยๆๆ หยาลเรื่อที่ชอบแล้วก็ประทับใจมากจะขอยกตัวอย่างบทความอีกบทความหนึ่ง ชื่อเรื่อว่า ด้วยความรักและการแบ่งปันอันแสนสุข เรื่อนี้เป็นเรื่อเกียวกับภิกษุและภิกษุณีจะขอเล่าตอนหนึ่นที่ภิกษุรูปหนึ่งได้เล่าถึง เรื่องประมาณว่า นิทาน ก็ได้ เนื่อเรื่อของเรื่อนี้มีอยู่ว่า
มนุษย์คนหนึ่งเป็นเพศชาย ได้รับอภิศิษย์ ไปดูงานที่ แดนนรกและแดนสวรรค์ โดยตอนที่เขาไปที่แดนนรกนั้น มียมทูต อาสาเป็นไกธ์ นำทางให้เขา เขาพบว่าแดนนกรนี้มีแต่ความน่ากลัว วังเวง และมี สัตว์นรกมากมาย
เขาเดินดูไปเรื่อย จนพบกับสัตว์นรก ทุกตัวแต่ เขาสังเกตเห็นว่าสัตว์นกรช่างผอมโซเหลือเกิน เขาก็ได้แต่สงสัยแล้วก็พบกับคำตอบ ว่าทำไม สัตว์นรก พวกนี้ถึงผอมโซ กันนัก เขาเห็นพวกสัตว์นรกพยามที่จะกินอาหารที่มีอยู่มากมายแต่พวกเขาไม่ส่ามารถกินอาหารนั้นได้ เพราะที่มือของสัตว์นรกเหล่านั้น มีช้อนที่ยาวมาก ยาวหลายเมตร มัดติดมือพวกเขาอยู่เขาสามารถตักอาหารที่มีอยู่มากมายนั้น ได้แต่ ไม่สามารถนำอาหารเข้าปากได้เพราะช้อนมันยาวเกินไป พวกเขาจึงได้แต่นั้นงมองอาหารพวกนั้นโดยที่ไม่สามารถกินได้เลย จากนั้นชายหนุ่มจึง ขอไปดูดินแดนสวรรค์ เขาแปลกใจมากที่ดินแดนสวรรค์มีอาหารให้กินมากมายเหมือนแดนนรก แต่ มือขางเทวดานางฟ้าทั้งหลายก็มีช้อนที่ยาวเหมือนกัน และเมือถึงเวลาอาหารของพวกเขา เทวดาละนางฟ้ากินได้ โดยใช้วิธีการแบ่ออกเป็น 2 ฝ่าย แล้วป้อนอาหารกันตอนสุดท้ายของเรื่องนี้ ได้บอกอีกว่า

“อย่าถามว่าชีวิตนี้ใครจะให้อะไรแก่เธอ”
“แต่จงถามว่าชีวิตนี้เธอจะให้อะไรกับใคร”
นอกจาก 2บทความที่ยกตัวอย่ามานี้แล้วก็ไม่ใช้ ว่าบทความอื่นจะไม่เป็นที่น่าสนใจแต่ ขอนำเสนอแค่ 2 บทความนี้
แต่สรุปแล้วก็คือความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ใจเราต่างหากไม่ใช้สิ่งของภายนอกกายไม่ใช้ของมีค่าไดๆ